SOFT POWER คืออะไร

ณัฐปภัสร์ วิทยาปกรณ์
18 Apr 2022SOFT POWER เป็นแนวคิดที่ได้รับการพัฒนาโดย Joseph S. Nye ศาสตราจารย์ทางรัฐศาสตร์จากสถาบันจอห์น เอฟ เคเนดี มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่มีประสบการณ์ทั้งในวงวิชาการและวงการเมือง เพราะเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกาเมื่อครั้งที่ บิล คลินตัน เป็นประธานาธิบดี ซึ่งเขาได้พัฒนาแนวคิดนี้ร่วมกับ Robert Keohane โดยได้เขียนหนังสือ Power and Interdependence ตั้งแต่ปี 1977 มาแล้ว ซึ่งบริบทแตกต่างจากปัจจุบันนี้มาก
แนวคิด SOFT POWER ได้รับการกล่าวถึงและวิเคราะห์อย่างกว้างขวางโดยเชื่อมโยงกับเรื่องของการเมืองการปกครอง นโยบายสาธารณะ การทูต ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งสร้างความเคลื่อนไหวและแรงขับเคลื่อนทางสังคม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง หรือการล่มสลายของระบบทางการเมืองหลายๆ รูปแบบ
หากนิยามแบบแคบๆ SOFT POWER หมายถึงอำนาจในการชักจูงหรือโน้มน้าวประเทศอื่นให้ปฏิบัติตามที่ตนประสงค์ โดยการสร้างเสน่ห์ ภาพลักษณ์ ความชื่นชม และความสมัครใจ พร้อมที่จะร่วมมือกันต่อไป อำนาจในลักษณะนี้จะได้รับการยอมรับมากกว่าการออกคำสั่งโดยใช้อำนาจบังคับขู่เข็ญ หรืออำนาจเชิงบังคับอย่างอำนาจทางทหาร ที่เรียกว่า HARD POWER นั่นเอง
แต่หากจะนิยามแบบกว้างๆ SOFT POWER ก็คืออำนาจโดยปราศจากกำลังทางทหาร (Non-military power) ไม่ว่าจะเป็นอำนาจทางวัฒนธรรม ความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ SOFT POWER คืออิทธิพลทางวัฒนธรรมที่ส่งผลต่อพฤติกรรม ความนิยมชมชอบ มุมมอง แนวคิดของผู้คนและมีส่วนดึงดูดให้ผู้คนเหล่านั้นรู้สึกมีส่วนร่วมกับวัฒนธรรมของอีกประเทศหนึ่งได้
Joseph Nye ได้ระบุว่า SOFT POWER ประกอบไปด้วย ทรัพยากรสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ วัฒนธรรม (culture) ค่านิยม (values) และนโยบายต่างประเทศ (foreign policy) ในกรณีของสหรัฐอเมริกาจะเห็นได้ว่ามีทรัพยากรเชิง SOFT POWER
ที่เข้มแข็ง อาทิ วัฒนธรรมที่เสนอผ่านภาพยนตร์ฮอลลีวูด ค่านิยมประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ตลอดจนการค้าเสรี เป็นต้น
แต่ละประเทศก็จะมี SOFT POWER ที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง เช่น เกาหลีที่มีอุตสาหกรรม K-Pop ภาพยนตร์และซีรีส์ที่โดดเด่นจนสร้างกระแส ‘Korean wave’ ขึ้นมาได้ หรือในญี่ปุ่นที่มีความโดดเด่นในเรื่องอาหาร แอนิเมชัน รายการทีวี ภาพยนตร์ เพลงป๊อบ และแฟชั่น เป็นต้น
ส่วน SOFT POWER ของไทย มีผู้คนหลากหลายที่พยายามชี้ว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็น SOFT POWER ของไทย
เช่น ต้มยำ นวดไทย มวยไทย รวมไปถึง Mango Sticky Rice หรือข้าวเหนียวมะม่วง
ซึ่งเกิดเป็นปรากฎการณ์ข้าวเหนียวมะม่วงฟีเวอร์ หลังจาก “มิลลิ ดนุภา คณาธีรกุล” แร็ปเปอร์สาวชาวไทย วัย 19 ปี โชว์กิน “ข้าวเหนียวมะม่วง” บนเวทีดนตรีระดับโลกอย่าง “Coachella” "Mango Sticky Rice" หรือข้าวเหนียวมะม่วง ก็ได้รับความสนใจอย่างท่วมท้น จนยอดการค้นหาคำว่า Mango Sticky Rice ใน Google เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาดังกล่าว
แต่การจะผลักดันให้ SOFT POWER ของไทยแพร่หลายไปในระดับสากลนั้น ฝีมือและความตั้งใจของคนกลุ่มเล็กๆ ยังไม่เพียงพอ มันจำเป็นต้องมีการสนับสนุนจากภาครัฐ ไม่ใช่เพียงแค่เม็ดเงินที่อัดฉีดเข้ามา แต่การเติบโตจำเป็นต้องพึ่งพานโยบายต่างๆ ที่สร้างสรรค์ และผ่านความคิดเห็นจากผู้คนในวงการอย่างจริงจัง
ข้อมูลจาก : https://www.bangkokbiznews.com/blogs/columnist/968174
เรียบเรียง : ณัฐปภัสร์ วิทยาปกรณ์